พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฎิกวรรค [11. ทสุตตรสูตร] ธรรม 6 ประการ
5. ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้พึงกล่าวอย่างนี้ว่า ข้าพเจ้าได้เจริญ
อนิมิตตาเจโตวิมุตติ1แล้ว ทำให้มากแล้ว ทำให้เป็นดุจยานแล้ว
ทำให้เป็นที่ตั้งแล้ว ให้ตั้งมั่นแล้ว สั่งสมแล้ว ปรารภดีแล้ว
แต่วิญญาณของข้าพเจ้าก็ยังแส่หานิมิตอยู่ ภิกษุทั้งหลายพึง
กล่าวตักเตือนเธอว่า อย่าได้กล่าวอย่างนี้เลย ผู้มีอายุ อย่าได้
กล่าวอย่างนี้ ผู้มีอายุ อย่าได้กล่าวตู่พระผู้มีพระภาค เพราะ
การกล่าวตู่พระผู้มีพระภาคไม่ดีเลย พระผู้มีพระภาคไม่ตรัส
อย่างนี้เลย ผู้มีอายุ เป็นไปไม่ได้เลยที่ภิกษุได้เจริญอนิมิตตา-
เจโตวิมุตติแล้ว ทำให้มากแล้ว ทำให้เป็นดุจยานแล้ว ทำให้เป็น
ที่ตั้งแล้ว ให้ตั้งมั่นแล้ว สั่งสมแล้ว ปรารภดีแล้ว แต่วิญญาณ
ของภิกษุนั้นก็ยังแส่หานิมิตอยู่ ข้อนั้นเป็นไปไม่ได้เลย เพราะ
อนิมิตตาเจโตวิมุตตินี้เป็นธาตุที่สลัดนิมิตทั้งปวง
6. ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้พึงกล่าวอย่างนี้ว่า ข้าพเจ้าปราศจาก
อัสมิมานะแล้ว และไม่พิจารณาเห็นว่า เราเป็นนี้ แต่ลูกศร
คือความเคลือบแคลงสงสัยก็ยังครอบงำจิตของข้าพเจ้าอยู่
ภิกษุทั้งหลายพึงกล่าวตักเตือนเธอว่า อย่าได้กล่าวอย่างนี้เลย
ผู้มีอายุ อย่าได้กล่าวอย่างนี้ ผู้มีอายุ อย่าได้กล่าวตู่พระผู้มี
พระภาค เพราะการกล่าวตู่พระผู้มีพระภาคไม่ดีเลย พระผู้มี
พระภาคไม่ตรัสอย่างนี้เลย ผู้มีอายุ เป็นไปไม่ได้เลยที่ภิกษุ
ปราศจากอัสมิมานะแล้ว และไม่พิจารณาเห็นว่า เราเป็นนี้
แต่ลูกศรคือความเคลือบแคลงสงสัยก็ยังครอบงำจิตของภิกษุนั้นอยู่
ข้อนั้นเป็นไปไม่ได้เลย เพราะสภาวะที่ถอนอัสมิมานะ2นี้เป็น
ธาตุที่สลัดลูกศรคือความเคลือบแคลงสงสัย
นี้ คือธรรม 6 ประการที่แทงตลอดได้ยาก